วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ดำขำ 5

ดาว วดีกับธงรบหายหน้าไปตั้งสติ ก่อนจะกลับมาสมทบกับทุกคนที่บ้าน ซึ่งกำลังเจรจากัน ทั้งสองพยายามเกลี้ยกล่อมให้ยกเลิกการแต่งงาน จนทุติยะตวาดอย่างเหลืออด
"พอได้แล้ว ตกลงใครจะแต่งกับใครแน่เนี่ย"
ดาว วดีกับธงรบจำต้องหุบปากสนิท กำนันแดงบอกให้มาตกลงเงื่อนไขก่อน ทิวาเสนอว่าจะยกที่ดินให้เป็นสินสอดตามสัญญา หนูดำถามอย่างอยากรู้ว่าที่ดินที่ไหน
"ก็ที่ไร่กาฬมณี ที่พวกเราทำกินอยู่นั่นไง" กำนันแดงว่า
"ตลกแล้วนะพ่อ ทำไมฉันต้องเอาที่ดินตัวเองมาเป็นของขวัญให้ตัวเองด้วยล่ะ"
"มันของเราเสียที่ไหนเล่า"
"พ่อหมายความว่ายังไง ไม่ใช่ของเราแล้วจะของใคร"
"ของลุงเอง" ทิวาตอบ
หนูดำตกใจ "อะไรนะ ไร่กาฬมณีไม่ใช่ของเราเหรอพ่อ"
ทุติยะเองก็แปลกใจ "จริงเหรอครับพ่อ"
"จริง" ทิวายืนยัน
"เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ใครจะกล้าโกหก จริงไหมไอ้แดง"
"จริง" กำนันแดงพยักหน้า
ทุติยะงงแต่ก็ชอบใจ หัวเราะสะใจ หนูดำยังไม่เชื่อบอกว่าเธอไม่เคยรู้เรื่องเลย
" เรื่องมันตั้งยี่สิบกว่าปีแล้ว ก่อนพวกเอ็งเกิด ไอ้วากับข้าเป็นเพื่อนรักกัน ไอ้วาต้องไปเรียนหนังสือต่อในกรุงเทพฯ เลยจ้างข้ามาทำไร่แทน ทำไปทำมา ยี่สิบกว่าปีผ่านไป ไอ้วาก็ไม่กลับมาเสียที" กำนันแดงเล่า
ทิวาเล่าต่อว่า "ลุงมัวแต่ทำงานจนไม่มีเวลาสนใจไร่ ปล่อยให้กำนันดูแลมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้เพิ่งนึกได้ว่ามีไร่ เลยคิดจะยกให้เป็นมรดกของทุติยะต่อไป
"ไม่ได้นะ หนูดำไม่ยอม" หนูดำร้องลั่น
"เธอมีสิทธิ์อะไรมาไม่ยอม ไม่ได้ยินเหรอว่าไร่นั่นมันเป็นของครอบครัวฉัน ไม่ใช่ของเธอ"
"ลุงจะยกที่ดินทั้งหมดให้เป็นสินสอดสู่ขอหนูมาเป็นสะใภ้"
"สินสอด หนูดำ เราได้ที่ดินคืนมาแล้ว" ถนอมร้องออกมาอย่างดีใจ
"ยังก่อน ยังมีเงื่อนไข"
"อะไรอีกล่ะ"
"ถ้าวันไหนหนูดำขอหย่า ที่ดินจะต้องตกเป็นของทุติยะตามเดิม"
"อะไรนะ ตกเป็นของนายทุยตามเดิม"
"ถ้าเอ็งไม่อยากเสียไร่ เอ็งอย่าขอหย่าเชียวนะหนูดำ" กำนันแดงขู่
" ถ้าไม่แต่ง ที่ดินก็ตกเป็นมรดกของทุติยะตามสิทธิ์ ถ้าแต่งที่ดินก็ตกเป็นสินสอดของฝ่ายเจ้าสาวตามกฎ ถ้าแต่งแล้วขอหย่าที่ดินก็คืนกลับมาเป็นของทุติยะตามกติกา ว่ายังไงล่ะ ตกลงตามนี้ไหม"
หนูดำมองหน้าทุติยะ ชั่งใจเป็นครั้งสุดท้าย ดาววดีกับธงรบลุ้นแทบไม่หายใจ
"หนูดำไม่ยอมเสียไร่ไปหรอก ตกลง แต่งก็แต่ง"
"ใครเป็นฝ่ายทนไม่ไหว ยอมแพ้ขอหย่าเมื่อไหร่ สัญญาการแต่งงานถือเป็นอันสิ้นสุด" ทุติยะว่า
"งั้นนายก็เตรียมตัวแพ้ไว้ได้เลย" หนูดำประจันหน้ากับทุติยะ ฮึ่มๆ ใส่กัน
ดาว วดีโทรไปฟ้องพวงแก้ว จนพวงแก้วรีบมาที่โคกน้ำเชี่ยวแต่สั่งให้ยกเลิกการแต่งงาน ทิวาอ้างว่าถ้าผิดสัญญาต้องยกที่ดินให้กำนันแดงไป พวงแก้วไม่อยากเสียที่ดินไป จึงบอกให้ดาววดียอมๆ ไปก่อน แล้วค่อยทำให้ทั้งสองหย่ากัน
แล้วพวงแก้วกับดาววดีก็วางแผนพาหนูดำมาสอน แต่งหน้าเจ้าสาว แต่กลับแต่งออกมาน่าเกลียด ทั้งยังพูดตอกย้ำว่าหนูดำเป็นอีกา ยังไงก็เป็นอีกา จนหนูดำทนไม่ไหววิ่งหนีออกไป
หนูดำวิ่งมาเจอทุติยะ ก็ถูกชายหนุ่มพาเที่ยวเดินชมตลาด จนกลายเป็นตัวตลก หนูดำยิ่งกดดันกับหน้าที่เจ้าสาวมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ต้องหลบไปทำใจที่ริมแม่น้ำที่เดิม โดยมีธงรบมานั่งเป็นเพื่อน และบอกให้หนูดำยกเลิกการแต่งงาน จะได้ไม่ต้องฝืนใจทำอะไรแบบนี้
"ปลัด พูดอะไร คิดว่าหนูดำเต็มใจอยากจะแต่งงานงั้นเหรอ หนูดำทำไปก็เพราะปกป้องไร่ของพวกเราหรอกนะ ถ้าเกิดไม่มีไร่ คนงานของหนูดำจะทำยังไง อยู่กันมาตั้งแต่หนูดำเกิด"
หนูดำเหล่ๆ มองธงรบก่อนจะถามว่า "ปลัด ถามอะไรหน่อยสิ ปลัดว่าหนูดำสวยไหม"
"สวย" ธงรบตอบทันที
"ถ้าเทียบกับคุณดาววดีล่ะ ใครสวยกว่ากัน"
"คุณดาววดี" ธงรบตอบทันทีเช่นกัน
"โห! ปลัดอ่ะ โกหกบ้างก็ได้ ไม่ต้องจริงใจนักหรอกน่า"
"ล้อเล่นน่ะ สวยคนละแบบ"
"แล้วแบบไหนสวยกว่ากันล่ะ"
"ก็แล้วแต่ว่าใครขอบแบบไหน"
"แล้วปลัดชอบแบบไหน"
ธงรบมองหน้าซึ้งๆ ก่อนจะอ้าปากตอบ หนูดำมองแล้วห้ามไว้
" ไม่ต้องตอบแล้ว ไม่อยากช้ำใจ ช่างเหอะ ยังไงผู้ชายก็ต้องชอบผู้หญิงอย่างยัยบาร์บี้อยู่แล้ว รู้ๆ กันอยู่ ฮึ่ย พูดแล้วหงุดหงิด หัวไก่อย่างนั้นจะไปรู้อะไร เฮ้อ อยากให้ถึงตอนหย่ากันเร็วๆ จัง"
"จะคอยนะ"
"เอาเลยปลัด คอยกับพวกที่ไร่ได้เลย"
"อยากคอยคนเดียว" ธงรบพูดอย่างมีความหมาย
"คอยคนเดียวทำไมเล่า คอยหลายๆ คนน่ะดีแล้ว ไม่เหงาด้วยนะปลัด"
หนูดำทำเป็นไม่รับมุกด้วยการตีหน้ายิ้มร่าใส่ ธงรบได้แต่ยิ้มหงอยๆ
วัน ต่อมาดาววดีกับจูลี่ขนข้าวของแห่มาที่ไร่ และประกาศว่าจะเป็นผู้จัดงานแต่งงานให้ทุติยะกับหนูดำด้วย ว่าแล้วก็จับหนูดำแต่งชุดเจ้าสาวไปถ่ายรูปแต่งงานที่เนินเขา กะจะแกล้งหนูดำ
แต่ กลับเป็นดาววดีที่ไม่พอใจเพราะรูปออกมาสวย แถมทุติยะส่งสายตาให้หนูดำอย่างมีความหมาย ทุติยะแก้ตัวว่าเขาทำตามที่เธอสั่ง ธงรบเดินมาได้ยินก็ไม่พอใจจนมีเรื่องชกต่อยกับทุติยะ หนูดำเข้ามาช่วยห้าม
"หยุด ฉันบอกให้หยุด พวกคุณเป็นบ้าอะไรกัน"
"ก็มันคิดไม่ดีกับหนูดำ มันคิดจะหลอกหนูดำ" ธงรบว่า
ทุติยะรีบบอก "หลอกอะไรของนาย ฉันไปหลอกอะไรหนูดำ"
"ก็ที่นายเพิ่งพูดไปเมื่อกี้นี้ไง พูดอีกทีสิว่าไม่คิดจะรักหนูดำ พูดสิว่าให้ตายก็รักไม่ลง"
หนูดำหันมามองทุติยะทันที เธอบอกเขาว่า
"ไม่ต้องพูดออกมาเหรอ ฉันรู้ดีอยู่แล้ว ฉันเองก็ไม่คิดจะรักคุณเหมือนกันนั่นแหละ"
หนู ดำพูดจบก็วิ่งออกไป ทุติยะนิ่งไปอย่างรู้สึกผิด รีบวิ่งตามออกไป ดาววดีจะตามแต่เกิดหกล้มตะครุบใส่ธงรบล้มไปทั้งคู่ ธงรบลุกได้จะตามไปแต่ดาววดีร้องว่าเจ็บขา เขาจึงลังเลก่อนจะเข้ามาดูดาววดี
หนู ดำวิ่งหนีออกมาที่หน้าไร่ แล้วขับรถกระบะออกไป แต่รถเกิดเสียกลางทาง แถมเจอกับเสี่ยดำเกิง ด้วยความหงุดหงิด และเสี่ยดำเกิงกวนประสาท หนูดำเลยซัดอีกฝ่ายระบายอารมณ์ เสี่ยดำเกิงโมโหสั่งให้ลูกน้องจัดการสั่งสอนหนูดำ
ทุติยะเข้ามาช่วยหนูดำ ลูกน้องเสี่ยหยิบปืนออกมา ทุติยะเห็นก็คว้าตัวหนูดำวิ่งหนี ทันใดนั้นมีเสียงดังฉึก
"คุณทุติยะ" หนูดำมองที่แขนของทุติยะตกใจ เพราะมีลูกดอกปักอยู่ และเลือดไหลออกมา
แต่ทุติยะไม่สนใจกระชากตัวหนูดำวิ่งหนี พลางกระชากลูกดอกออก ดีที่เสี่ยดำเกิงไม่ตามเพราะต้องการแค่สั่งสอน
ทุ ติยะกับหนูดำหายไปด้วยกันจนกลางคืนก็ยังไม่ถึงบ้าน ทุกคนเริ่มเป็นห่วง ธงรบกับดาววดีรีบตรงไปหาเสี่ยดำเกิง คาดคั้นจนรู้ว่าทั้งคู่วิ่งหนีเข้าป่าไป เลยเข้าไปตาม แต่กลับติดอยู่ในป่าเสียเอง
ขณะที่ถนอมกับพวกเข้าไปตามจนเจอหนูดำกับทุติยะที่หลบฝนอยู่กันสองคนในชะง่อนผา
กำนัน แดงกับทิวาจึงตัดสินใจให้ทุติยะกับหนูดำแต่งงานกันในวันรุ่งขึ้นเลย เสียงแห่ขันหมากของทุติยะดังแว่วไปถึงธงรบกับดาววดี ทั้งสองรีบวิ่งมาร่วมงาน ทิวาเห็นจึงบังคับให้ทั้งสองถือกล้วย บอกว่าจะได้ลูกดกเหมือนกล้วย ดาววดีกับธงรบมองหน้ากันตื่นๆ ขณะที่ทุติยะยิ้มสะใจ
งานแต่งงานของทุติยะกับหนูดำเริ่มขึ้นอย่างยิ่ง ใหญ่ แต่ทุลักทุเล หนูดำสวยเป็นพิเศษในชุดเจ้าสาว ทุติยะยังแอบตะลึง แต่ก็รักษาฟอร์มไว้แล้วเปิดฉากทะเลาะกันตลอดงาน
กระทั่งถึงเวลาส่งตัว พวงแก้วจะไม่ยอมออกจากห้องหอเพราะเป็นห่วงทุติยะ ทิวากับกำนันแดงต้องหิ้วปีกพวงแก้วออกไปเลย ในห้องหอจึงเหลือเพียงหนูดำกับทุติยะที่นอนเป็นพิธี แต่พอผู้ใหญ่ออกไปหมดต่างก็รีบลุกขึ้น เดิมคุมเชิงกันรอบเตียง
"แน่จริงลุกทำไมล่ะ"
"ถ้านายแน่จริงก็นอนก่อนสิ"
"กลัวเหรอ" ทุติยะแหย่
"มีอะไรให้ฉันต้องกลัว"
"งั้นก็ตื่นเต้นที่จะได้อยู่กับฉันสองต่อสอง"
"คนน่าเบื่ออย่างนาย น่าตื่นเต้นตรงไหนไม่ทราบ"
"อยากรู้ไหมล่ะ"
"นายจะทำอะไรน่ะ"
ทุติยะไม่ตอบ แต่ขยิบตาให้ ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อ
"นี่นายจะทำบ้าอะไร อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ"
หนูดำรีบปิดไฟทันที ทุติยะแหย่อีก "นี่เธอใจร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ"
หนูดำได้ยินก็เปิดไฟหันกลับมา ทุติยะถอดเสื้อแล้วยืนอยู่ชิดหนูดำพอดี ยิ่งทำให้หนูดำตกใจ
"เฮ้ย!!! ไอ้บ้านี่" หนูดำผลักทุติยะออกแล้วกระโดดขึ้นเข่า ก่อนจะรีบวิ่งหนีออกไปจากห้อง
หนูดำวิ่งแจ้นมาขอความช่วยเหลือจากถนอม ก่อนจะกลับมาในสภาพตัวดำเป็นเหนี่ยง เพราะพอกโคลนไว้ทั้งตัว ทุติยะร้องลั่น
"นี่ นี่เธอทำบ้าอะไรของเธอเนี่ย"
"ทำไม ก่อนนอนฉันก็ต้องทำอย่างนี้แหละ"
"ทำตัวน่ารังเกียจเนี่ยนะ ฮึ่ย อะไรของเธอทั้งดำทั้งเหม็น"
"ยังไงนายก็ต้องทน เพราะมันเป็นเรื่องจำเป็น ฉันต้องพอกไว้ทุกคืนวันจันทร์ วันเกิดของฉัน"
"แล้วจะพอกไว้ทำไม มันเหม็นจะตาย สกปรกรึเปล่าก็ไม่รู้"
" นายไม่รู้ล่ะสิว่าฉันน่ะชื่อหนูดำเพราะอะไร ตอนฉันเกิดมา ฉันป่วยหนัก พ่อกลัวว่าฉันจะตายก็เลยเอาดินหม้อทาตัวฉันซะดำปิ๊ดปี๋ แล้วก็ตั้งชื่อฉันว่าหนูดำ ผีจะได้คิดว่าฉันน่ะน่าเกลียดแล้วก็ไม่มาลักพาตัวไป ฉันถึงรอดมาเป็นเมียคุณได้นี่แหละ คุณมันคนกรุงเทพฯนี่ ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้สิท่า"
"จริงเหรอ" ทุติยะถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
"ฉันจะโกหกคุณทำไม" ทุติยะมองหนูดำอย่างไม่เชื่อใจนัก "มองทำไม คุณอยากจะกอดฉันเหรอ"
"ไม่ๆๆๆ ไม่มีทาง"
"งั้นฉันนอนก่อนะคุณ" ว่าแล้วหนูดำก็ล้มตัวลงนอน
ทุติยะร้องลั่น "เฮ้ย เดี๋ยว เธอนอนที่พื้นสิ"
"เรื่องอะไรฉันต้องนอนที่พื้น"
"ก็ฉันจะนอนบนเตียง"
"ด้ายยย เอาสิ มาเลย มาเลย"
"เหม็นอย่างนี้ ใครจะไปนอนด้วยลง เธอลงไปนอนที่พื้นเลย"
"ฝันไปเถอะ" หนูดำคว้าหมอนปาใส่หน้าทุติยะ แล้วล้มตัวลงนอนกลางเตียงกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างชอบใจ "ฮ้า สบายจังเลย"
ทุติยะเอาหมอนปิดจมูก "ฮื้อหือ ยัยขี้เป็ด"
คืน นี้ยังไม่จบ เมื่อธงรบกับดาววดีย่องมาแอบดูด้วยความหึงหวง พอได้ยินทั้งคู่ทะเลาะกัน ก็ตัดสินใจเอาพลุหย่อนเข้าไปในห้องหอ จนระเบิดเสียงดังลั่นใส่ทั้งคู่หน้ามอม แล้ววิ่งแตกตื่นออกมาจากห้องหอ
พวงแก้วเห็นสภาพลูกชายตอนเช้าก็โวยวายลั่น และโทษว่าเป็นฝีมือหนูดำทันที กำนันแดงหันไปทางหนูดำที่เยินไม่แพ้กัน
"เอ้า พูดดีๆ นะ ดูลูกสาวฉันซะก่อนสิ แล้วค่อยมาโทษกัน"
มีทิวาที่มองในแง่ดี "แหม มันช่างสมกันจริงๆ คู่แท้นะคู่นี้"
พวงแก้วเลยตุ๊บให้ "นี่แน่ะคู่แท้ ลูกเราโดนกลั่นแกล้งตั้งแต่วันแรกอย่างนี้ เธอต้องชดใช้"
"จะให้มันชดใช้ยังไง"
" ก็ทำให้มันยุติธรรมไปเลย ให้ยัยหนูดำมาขอหย่าซะ งานแต่งงานจะได้ถือเป็นโมฆะ สินสอดที่ดินส่วนของแม่หนูดำก็ให้ตกเป็นของทุติยะคนเดียว แล้วก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้อมาเจอกันอีก ยุติธรรมกันไปเลย ไม่เห็นจะยาก"
"แหม ยุติธรรมจริงๆ ยุติธรรมมาก" กำนันแดงประชดอย่างหมั่นไส้
"ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทนสิ คนปอดแหกก็อย่างนี้แหละ"
ทุติยะหันมามองหนูดำแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณแม่ ผมกับหนูดำแค่ทะเลาะกันนิดหน่อยเรื่องฮันนีมูนนะครับ"
"ฮ่ะ ฮันนี่มูน"
"ใช่จ๊ะที่รัก แต่งงานแล้วก็ต้องไปฮันนีมูนสิ ผมจะพาคุณกลับไปฮันนีมูนที่กรุงเทพฯ หวังว่าคุณคงกล้านะ"
ทิวากับกำนันแดงชอบใจ "เฮ้อ เข้าท่าๆ ฮันนีมูน ไอ้หนูดำตื่นเต้นไหมวะ เอ็งจะได้เข้ากรุงเทพฯ แล้วนะเว้ย"
หนูดำมองหน้าทุติยะอย่างระแวง ขณะที่ทุติยะยักคิ้วให้กวนๆ "เธอตายแน่"
000000000000
ทุ ติยะพาหนูดำกลับมาที่บ้านของเขาพร้อมครอบครัว หอมกับมะลิคนรับใช้คู่โปรดของพวงแก้วรีบออกมาต้อนรับ แต่เจอหนูดำทำตัวบ้านนอกใส่ ทั้งสองเลยถอยกรูดไปหาพวงแก้วอย่างกลัวๆ พวงแก้วบอกคนรับใช้ทั้งสองให้ช่วยกันทำให้หนูดำทนอยู่ที่นี่ไม่ได้
หนู ดำเข้ามาเก็บเสื้อผ้าที่บ้านได้พักเดียว ทุติยะก็ลากเธอออกไปห้างสรรพสินค้า เพื่อหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะไม่ต้องการให้เธอแต่งตัวปอนๆ แต่หนูดำแผลงฤทธิ์แกล้งเดินหลงทางแล้วประกาศเรียกทุติยะให้มารับ ทุติยะรีบลากหนูดำออกจากห้างด้วยความอาย
ทุติยะอ่อนใจกับหนูดำ เลยตัดสินใจเรียกดาววดีให้มาช่วยพาหนูดำไปซื้อเสื้อผ้าแทน แต่อีกฝ่ายรีบห้ามแล้วลากชายหนุ่มไปเดินจตุจักร
ทุติยะบ่นไปตลอดทาง แถมหนูดำเห็นทุติยะไม่ชอบเสื้อผ้าสีไหนเธอก็จัดการซื้อหมด และจะจ่ายเงินเองแต่ทุติยะรีบควักกระเป๋าสตางค์ออกมา
"ของฉัน ฉันซื้อเอง" หนูดำว่า
"เธอจะบ้าเหรอ เราแต่งงานกันแล้ว ฉันก็ต้องซื้อให้เธอสิ"
หนูดำทำหน้าไม่ถูก รีบคว้าถุงเดินหนีไป ทุติยะรีบเดินตาม
"นี่เอาสีขาวนะ สีขาวเท่านั้น"
"อย่ามาสั่งนะ"
"แต่ฉันเป็นคนจ่ายเงินนี่ ทำไมจะสั่งไม่ได้ สีครีม สีฟ้า สีขาว อนุญาตแค่สามสีเท่านั้น"
หนู ดำกลับมาก็เอาเสื้อผ้ามาฝากพวงแก้ว แต่พวงแก้วโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี และอาหารค่ำวันนั้นพวงแก้วยังเตี้ยมกับหอมและมะลิทำแต่อาหารฝรั่ง
" เริ่มที่ซุปถั่วกับครีมนะค่ะ คืนนี้มีรีช็อตโต้ ส่วนจากหลักเป็นเวลลิงตัน ของหวานเป็นเครมบูเลค่ะ คุณพอทานได้ไหมคะ" หอมแกล้งถามหนูดำ
"ฮะ เมื่อกี้ชื่ออาหารเหรอ"
"ไม่ถนัดเหรอคะ มะลิ" หอมเรียกมะลิที่เข้ามาพร้อมจากข้าวราดแกงให้
"หรือคุณจะรับเป็นข้าวราดผัดเผ็ดปลาดุก"
ทิวาได้ยินชื่อก็ถูกใจ "ฮะ มีด้วยเหรอ ขอด้วยสิ"
พวงแก้วหยิกทิวาให้เงียบ แล้วมองหนูดำพูดอย่างเหน็บแนม
"อยู่บ้านเราก็ต้องกินให้เหมือนเรา ถ้ากินไม่เป็นก็ช่วยไม่ได้"
หนูดำทำหูทวนลมเคาะโต๊ะไม่เลิก จนพวงแก้วต้องดุ
"หยุดซะทีได้ไหม ไม่มีใครอบรมสั่งสอนมารยาทโต๊ะอาหารให้เธอรึไง"
หนูดำหยุดเคาะ แล้วตักซุปซดเสียงดัง จนพวงแก้วตกใจ "ว้าย ตายแล้ว"
"ฮ่ เด็ด เด็ดจริง อร่อยมาก แถวบ้านฉันเขาสอนให้ชมเวลาใครทำอร่อย"
"รู้ด้วยเหรอว่าอร่อยหรือไม่อร่อย นี่มันไม่ใช่อาหารแถวบ้านเธอนะ เคยกินเหรอ"
"แหม ก็ชมไปตามมารยาทนะค่ะคุณนาย เห็นถามเรื่องมารยาท"
"อย่ามาเรียกฉันว่าคุณนายนะ ฉันน่ะคุณหญิ"
"ค่ะคุณแม่" หนูดำแกล้งยั่วต่อ
"อ๊ายย ขยะแขยงๆ ที่สุด ไม่กงไม่กินแล้ว อารมณ์เสีย"
พวงแก้วลุกออกไป เจอทุติยะที่ลงมาพอดีเขาถามว่าแม่จะไปไหน
"ไปสวดมนต์ ระงับอารมณ์"
ทุติยะมองหนูดำอย่างเดือดดาลแล้วเดินออกไป ทิวาถามว่าจะไปไหน
"ไปทานข้าวกับคุณดาววดีครับ กลับดึกหน่อยนะครับคุณพ่อ ไม่ต้องรอ"
หนูดำสวนทันควัน "ใครจะรอนาย"
ทุติยะไม่ตอบเชิดหน้าออกไป หนูดำทำเป็นไม่สนใจ หันมาร่าเริงชวนทิวาทานข้าว ทิวาโยนผ้าเช็ดปากทิ้งแล้วถกแขนเสื้อ
"มาเต็มที่ ลูกทุ่งเต็มที่"
หนูดำกินข้าวกับทิวาอย่างเอร็ดอร่อย
ทุ ติยะกลับจากกินข้าวกับดาววดีมาอย่างอารมณ์ดี แต่ต้องมารบรากับหนูดำเรื่องแย่งเตียงนอนกัน หนูดำหาเรื่องโยนรีโมตเครื่องเสียงอีกฝ่ายออกไปข้างนอก ทุติยะวิ่งตามไปเก็บ หนูดำรีบปิดประตูล็อกห้อง ทำให้ทุติยะเข้าห้องไม่ได้ ต้องลงไปขอนอนกับไม้ด้วยความเจ็บใจ ไม้ถามว่าทำไมไม่เปิดห้องรับแขกนอนแทนที่จะมานอนอุดอู้ในห้องของเขา
" ฉันไม่อยากให้ใครรู้ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่าฉันกลัวหนูดำเหมือนแกอีกคน ห้ามแกบอกใครนะว่าฉันไม่ได้นอนในห้อง" ว่าแล้วก็นอนหันหลังให้ไม้
"โธ่เอ้ย เจ้านาย แพ้ตั้งแต่คืนแรกเลยเหรอเนี่ย"
"ฉันไม่ได้แพ้ คอยดู ฉันตื่นเมื่อไหร่ ยัยหนูดำตายแน่"
หนู ดำนอนหลับสบาย แต่เช้าก็ถูกพวงแก้วปลุกขึ้นมาใช้งาน เธอเลยแกล้งใช้เครื่องดูดฝุ่นไม่เป็น ไล่ดุดผมของพวงแก้วจนกระเจิงไป ทำให้ทุติยะโมโหมากรีบลากหนูดำไปฟิตเนสด้วยกัน
และที่ฟิตเนสนี้ ดาววดีมาพบก็ชวนเธอไปเต้นแอโรบิก พลางพูดจาดูถูกว่าเธอจะทำได้หรือไม่ หนูดำพยายามเต้นตามอยู่พัก แต่ดาววดียังไม่เลิกพูดจาดูถูก เธอเลยออกทาออกทางของตัวเองใส่ดาววดี จนดาววดีต้องหลบ ก่อนจะวิ่งหนี ทุติยะห้ามก็ไม่หยุด
วันรุ่งขึ้นดาววดีโทรไปฟ้องพวงแก้วด้วยความเจ็บใจ พวงแก้วเองก็พลอยแค้นใจไปด้วย ดาววดีจึงบอกว่า
" คุณป้าไม่ต้องกลัวค่ะ ดาววางระเบิดไว้แล้ว ต่อให้หนูดำเก่งมาจาไหน ถ้าโดนบ่อนทำลายอยู่ทุกวัน ยังไงก็ต้องพังอยู่ดีแหละค่ะ ผู้หญิงเรา ทนอะไรก็ทนได้ ยกเว้นทนเห็นแฟนนอกใจ" ดาววดีพูดอย่างมั่นใจ
ไม่กี่วันต่อมา ข่าวดาววดีกับทุติยะไปกินข้าด้วยกันก็ถูกตีพิมพ์ลงหนังสือดารา ทำให้ธงรบรู้สึกเป็นห่วงหนูดำ รีบขับรถมากรุงเทพ
ทุ ติยะเห็นธงรบก็หึงหวง เขาจึงแกล้งเข้าไปพูดถึงดาววดีต่างๆ นาน ทำให้ธงรบเริ่มระแวงว่าดาววดีจะเป็นมือที่สาม เขาจึงถามทางไปบ้านดาววดีจากไม้ พอไปเจอหน้าดาววดี ธงรบก็ตั้งหน้าตั้งตาต่อว่าทันที
"คุณทุติยะเขาแต่งงานแล้ว คุณไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกนะครับ"
"ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า"
"ผมไม่ได้ห่วงคุณ ผมห่วงหนูดำต่างหาก สิ่งที่คุณทำน่ะมันไม่ถูก"
"ไม่ถูกยังไง คุณน่ะไม่เข้าใจต่างหาก อ้อ ฉันลืมไปว่าคุณหัวช้า โอเค. ฉันจะอธิบายอย่างช้าๆ คุณไม่ทันตรงไหนก็ถามเลยนะ"
ว่า แล้วดาววดีก็สาธิตเรื่องสตอรเบอร์รี่คือเธอ กีวีคือทุติยะ เมื่อนำมาปั่นรวมกัน จะได้รสชาติที่ดี ขณะที่มะระขี้นกคือหนูดำ นำมาปั่นกับกีวี จะได้รสชาติที่แย่ แล้วเธอก็สรุปว่ามะระขี้นกต้องคู่กับน้ำพริก ซึ่งก็คือธงรบ
ธงรบฟังอย่างนิ่งๆ แล้วขอนั่งพัก ดาววดีพูดต่อว่า
"คุณทำใจยอมรับเถอะ ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะเกิดมาโชคดีเหมือนฉันกับคุณทุติยะ"
"ถ้าคุณเชื่อของคุณอย่างนั้น ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่น"
"คุณเข้าใจแล้วใช่ไหม" ดาววดีดีใจ
"นอกจากขัดขวางคุณจนกว่าคุณจะยอมหยุด" ธงรบพูดจบ
ดาววดีตกใจ "อะไรนะ"
ธงรบกระชากตัวดาววดีเข้ามาใกล้เขา
" ต่อไปนี้ ไม่ว่าคุณคิดจะทำอะไรกับมะระขี้นก เอ้ย หนูดำ ผมก็จะตามขัดขวางคุณ ผมจะติดตามคุณ เฝ้าดูคุณ จับผิดคุณเป็นอุปสรรคของคุณ จนกว่าคุณจะเลิกยุ่งกับหนูดำ"
ธงรบจ้องหน้าดาววดีอย่างเอาจริง
ธงรบ ออกจากคอนโดของดาววดีก็ตรงไปหาหนังสือเพื่อแก้ข่าวให้หนูดำกับทุติยะ จนหนังสือโทรมาหาทิวาเพื่อขอสัมภาษณ์หนูดำกับทุติยะ พวงแก้วรู้ก็ขัดขวาง แต่หนูดำแอบได้ยินจึงโทรไปคุยกับกองบ.ก.เอง
ทุติยะรู้ว่าหนูดำต้องการทำ ให้เขาอายด้วยการแต่งตัวเป็นคนดำมาให้สัมภาษณ์ จึงแอบเอาครีมทาตัวและเสื้อผ้าไปทิ้งจนหมด พอถึงวันนัดหนูดำรีบอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะตกใจเมื่อพบว่าเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวของเธอหายไปหมดแล้ว เธอมั่นใจว่าเป็นทุติยะ เขาก็ยอมรับและบอกเธอว่า
"คิดเหรอว่าฉันจะเก็บมันไว้ให้เธอเอามาทำฉันขายหน้า ฉันไม่โง่หรอก กล้าออกไปก็ตามมาสิ ถ้าไม่กล้า ถือว่าแพ้"
ทุติยะยักคิ้วให้ก่อนจะเปิดประตูออกไป

ไม่มีความคิดเห็น: